หนังไทยกะหนังฮอล์ลิวูด(7 หรือ 8 กุมภาพันธ์ 2545)
ตื่นมาตีสี่ครึ่ง ลุกขึ้นมาอ่านหนังสือ อาจจะเพราะตื่นสายไปมั้งเลยอ่านไม่ค่อยรู้เรื่อง
อ่านได้ตอนเดียว ทำความเข้าใจได้ซักพัก เห็นตอนต่อไปเกี่ยวกับ Network
ดู ๆ แล้วสมองไม่ค่อยแล่นเลย ก็เลยเลิกอ่านตอนตี 5 เศษ ๆ
เปิดไปช่องเจ็ดมีเทปแข่งรักบี้ ไอร์แลนด์ กับเวลล์
ดูจนจบ สนุกดี แม้จะไม่เท่า NFL ก็เหอะ ดูไปดูมาทีวีก็ไม่มีอะไรดูอีก
ก็เลยลุกขึ้นมาเปิดเครื่องคอม เช็คไฟล์ในเครื่อง
คอนเวอร์วีดีโอไฟล์ กินเวลาเป็นชั่วโมงกว่าจะเสร็จ ก็เลยต้องมาดูทีวีฆ่าเวลา
พอดี เจ็ดโมง มีรายการ Let s Speak Korean ทาง Arirang TV ก็ต้องดูต่ออีก
พูดก็พูดเหอะ ดูรายการนี้มาเป็นอาทิตย์แล้ว
ไม่เห็นจะจำอะไรได้ซักอย่างเลย พูดก็เร็ว ๆ พังตามก็แทบไม่ทัน
แต่ก็ดีตรงช่วงปลายรายการที่สอนอ่านออกเสียงอักษรฮันกุล
เสียแต่สอนวันละตัวเอง กว่าจะอ่านได้ชัวร์ ๆ ทุกตัว สงสัยจะกินเวลาเป็นปี ๆ
ตกสาย ๆ ก็ออกไปส่งเงินที่ไปรษณีย์ แวะไปบ้านเจ้าเก๋ ไปถามข่าวดู
อ้อ ! เจ้านี่ได้งานทำแล้ว แต่ก็ไม่ยักกะโทรหรือเมล์มาบอก
ปล่อยให้แซวมันในเว็บอยู่ได้เป็นเดือน
ขากลับแวะไปพลาซ่า ซื้อวีซีดีมาเรื่องหนึ่ง Kiss of The Dragon
ตอนแรกเข้าใจว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ฉายกันอยู่ในเคเบิลฉายซ้ำฉายซากไม่รู้กี่รอบ
แต่เราก็พลาดไม่ได้ดูเลย แถมความจริงเป็นคนละเรื่อง
เผอิญผ่านไปเห็นป้ายโฆษณามนต์รักลูกทุ่งเอฟเอ็ม พอดีเคยเห็นในโฆษณา
แล้ว ก็คิดว่าน่าจะสนับสนุนหนังไทยอีกซักเรื่อง เลยเอาแผ่นวีซีดีไปเก็บบ้าน
แล้วมาที่โรงหนัง ไอ้เราก็ว่าเรามาแต่เนิ่น ๆ แล้วนะ พอขึ้นไปแล้ว คนเต็มเลย
คิดไม่ถึงเหมือนกันว่าวัยรุ่นสมัยนี้ยังเห็นหนังไทยแบบนี้อยู่ในสายตากันอยู่อีก
คุณมุกเคยเมล์มาเล่าให้ฟังเรื่องคนบางคน ไม่ยอมไปดูหนังเรื่องนี้เพราะกลัวเสียภาพพจน์
เฮ้อ ! คนแบบนี้ยังมีอยู่ในโลกอีก ใหลตามโลกตามกระแส
ไม่รุ้ว่าอะไรคือความจริงของโลก อะไรคือความงดงามของโลก
จริง ๆ แล้ว อะไรคือ Hi-Class อะไรคือ Low-Class ทุกสิ่งทุกอย่างมนุษย์กำหนดขึ้นเอง
สูงหรือต่ำ เหมือนกับคำว่าบ้า ที่คนส่วนใหญ่ว่าให้พวกเรานี่แหละ
บ้าก็เป็นแค่มติของคนกลุ่มหนึ่งเท่านั้น
บางสิ่งคนกลุ่มหนึ่งมองว่าบ้า คนอีกกลุ่มกลับมองว่าเป็นสิ่งที่น่าชื่นชม
ในสมัยกลางคนที่ศึกษาวิทยาศาสตร์ถูกมองว่าเป็นพ่อมดหมอผีพวกนอกศาสนา
ต้องถูกเผา ยุคต่อมาก็ถูกมองว่าเป็นผู้ปฏิวัติวัฒนธรรม เป็นผู้สร้างโลกใหม่
คนที่ก้าวหน้ากว่านั้นในยุคนั้นถูกเรียกว่าพวกสติเฟื่อง เพ้อฝัน พวกบ้า พวกเพี้ยน
หากสัมพัทธภาพของไอสไตน์ไม่ส่งผลต่อการศึกษา
และส่งผลเปลี่ยนแปลงทางวิทยาศาสตร์ของโลก
ไอสไตน์ก็คงเป็นได้แค่ ยิวเพี้ยน ๆ คนหนึ่ง
ทุกวันนี้วงการวิทยาศาตร์ยกย่อง ไอสไตน์ นิลบอร์ ไฮเซนเบิร์ก
แต่ไม่แน่ในอนาคตกาลข้างหน้า คนเหล่านี้อาจจะถูกเรียกว่าเป็นซาตาน
เป็นผู้ทำลายโลกก็ได้
โลกทัศน์ และทัศนคติ ไม่ใช่ของตายตัวคงที่
ครั้งหนึ่งเพลงลูกทุ่งเคยเป็นส่วนหนึ่งของสังคมและวัฒนธรรมไทย
มาถึงวันนี้กลายเป็นของต่ำในสายตาคนบางคน
สงสารประเทศชาติที่มีคนพรรค์นี้ในสังคมพอสมควร
แต่ก็รู้สึกชื่นชมที่มีคนไปดูหนังเรื่องนี้เยอะมากเกินความคาดหมาย
เราซื้อตั๋ว ลูกอม แล้วก็โค๊กเข้าไป ข้างในนั่งรอหนังฉาย
มีหนังตัวอย่างฉายขึ้นมาให้ดู ดูไปซักพักเอ๊ะเรื่องนี้เราเคยดูแล้วนี่
ที่ใหนได้ E.T. เพื่อนเก่าเรานี่เอง ดีใจที่เพื่อนเก่าจะกลับมา นี่ก็ผ่านมาตั้ง 20 ปีแล้วสินะ
เหลือเชื่อเลย จริง ๆ ยังจำความประทับใจในวัยเด็กเมื่อครั้งนั้นได้
หนังเรื่องนี้ทำให้เราเกิดความฝันและจินตนาการ
และเชื่อว่าหนังเรื่องนี้คงจะสร้างความประทับใจให้หลาย ๆ คนในครั้งนั้น
การกลับมาครั้งนี้เป็นการกลับมาพร้อมเทคนิคใหม่ ๆ
เพิ่มสเปเชี่ยลเอฟเฟค และเพิ่มหลาย ๆ ฉากที่ไม่เคยมีมาในเวอร์ชั่นเดิม
เป็นการฉลองครบรอบ 20 ปีของหนังเรื่องนี้
เห็นบอกว่าฉายเฉพาะในโรงเท่านั้นคล้าย ๆ กับจะเป็นการบอกนัย ๆ
ว่าหนังเรื่องนี้จะไม่มีวีดีโออย่างนั้นแหละ
แต่ยังไงเราก็จะไปดูให้ได้ เพราะเรายังจำ
และประทับใจระหว่างมิตรภาพของ E.T. และเอลเลียตอยู่เลย
เราว่าเจ้าตี๋มันต้องชวนน้องแบมไปดูแน่ ๆ
อีกเรื่องก็คือ The One ของ เฮียเจี๋ย เรื่องนี้ก็คงพลาดไม่ได้
เราเป็นพวกไซไฟขึ้นสมองอยู่แล้ว แถมยังมีสุดยอดนักบู๊คนนี้แสดงด้วย
ยังไงก็ต้องไม่พลาด พอหนังตัวอย่างฉายจบ
ก็มีการยืนถวายความเคารพ จากนั้นหนังก็เริ่มฉาย
เปิดฉากที่รุ่ง สุริยา เป็นหนังที่น่าประทับใจมากรวบรวมนักร้องลูกทุ่งไว้เพียบ
แต่ละคนจะโผล่ออกมาพร้อมเพลงประจำตัว
มีบางคนเท่านั้นที่ออกมาแล้วไม่มีเพลง อย่าง ยอดรัก พรศักดิ์
นอกนั้นออกมาจะเรียกเสียงฮาได้ลั่นโรงทีเดียว
มีหลายคนได้เป็นแค่ตัวประกอบไม่กี่ฉาก อย่าง เอกชัย ศรีวิชัย ยอดรัก สลักใจ
พรศักดิ์ ส่องแสง พิมพา พรศิริ ไวพจน์ เพชรสุพรรณ
เพลิน พรหมแดน สมมาตร ราชสีมา เด่นชัย สายสุพรรณ
สายันต์ นิรันดร แต่บางคนก็เป็นตัวหลัก ๆ อย่าง รุ่ง สุริยา, เอกราช สุวรรณภูมิ,
จิ้งหรีดขาว-สุทธิราช วงเทวัญ, ดาว มยุรี, สุนารี, ราชสีมา ศิรินทรา นิยากร(นักร้องโปรด) ,
ลูกนก สุภาพร , กาญจนา มาศิริ ,คัทริยา มารศรี,อาภาพร นครสวรรค์ ,ยิ่งยง ยอดบัวงาม ,
ดำรงค์ วงศ์ทอง, ทศพล หิมพานต์ และคนอื่น ๆ อีกนับไม่ถ้วน
แม้ว่าจะไม่ใช่ใหนฟอร์มใหญ่ หรือหรูหราอะไร แต่เป็นหนังที่ดุแล้วประทับใจ
เป็นอะไร ๆ ที่ธรรมดา ๆ ดี บทจะขำก็ขำก๊าก
หรือบางฉากก็แค่อมยิ้ม แต่ก็ทำออกมาได้ดี
โดยเฉพาะบทจะซึ้งแล้วก็ออกมาซึ้งแล้วก็ยิ้มนิด ๆ
อย่างฉากที่ เกษม คมสันต์เดินร้องเพลงออกมาหาคัทริยา
หรือฉากอื่น ๆ อีกหลาย ๆ ฉากเรียกได้ว่าเป็นหนังไทยที่ดูแล้วไม่เสียดายตังส์
พอหนังจบก็สร้างความเซ็งให้อีกกับวัฒนธรรมการดูหนังของคนไทย
ที่พอหนังจบแล้วมีการนำเอาฉากหลุด ๆ มาให้ดู มันก็ลุกยกโรงกันออกเกือบหมด
เดินบังกันให้ทั่วไม่รู้จะรีบไปใหน
ไอ้คนฉายหนังก็อีกหนังฉายก็ยังไม่หมดม้วน ท้าย ๆ ก็จะมีฉากหลุด ๆ ให้ดู
มีการให้เครดิตคนที่มีส่วนร่วมในการทำหนังเลื่อนขึ้นมามันก็ปิดเครื่องฉายแล้ว
ไม่รู้ว่าฉายต่ออีกซักนาทีสองนาทีมันจะทำให้โรงหนังมันถึงกับเจ๊งเลยรึไงก็ไม่รู้
เรามองดูคนที่ยังเหลืออยู่ก็ประมาณเกินครึ่งร้อยที่ยังนั่งดูอยู่มันก็ปิดแล้ว
เฮ้อ ! สังคมไทย ศิลปก็เลยไม่เคยได้รับการส่งเสริม
คนชื่นชอบศิลปก็ไม่มีโอกาสได้ชื่นชมด้วยเหมือนกัน
ศิลปะ สร้างจิตใจที่อ่อนโยนนุ่มนวลให้ผู้คน
แต่สิ่งนี้ไม่ค่อยได้รับการส่งเสริมในเมืองไทย อิจฉาต่างประเทศจัง
Việt Nam ລາວ(ลาว) 한국(เกาหลี) 中國(จีน) 日本(ญี่ปุ่น) หรือแม้แต่ทางยุโรป
เราดูรายการทีวีของประเทศเหล่านี้แล้วบ้านเข้ามีทั้งศาสตร์และศิลป์ในทีวี
แต่บ้านเรา มีแต่ยาพิษ สิ่งยั่วยุ และค่านิยมอันเลวร้ายให้กับสังคม
เสียดายเป็นแค่คนตัวเล็ก ๆ คนหนึ่ง จะไปเปลึ่ยนแปลงอะไรได้
ก็คงต้องทน ๆ และยอมรับกันต่อไป วันใหนเบื่อคงจะหนีไปอยู่ลาวเอง
กลับมาบ้านได้ซักพักก็เปิด Kiss of The Dragon
ดูก็ต้องยอมรับในการทำหนังของHollywood จริง ๆ
แต่ก็มีสิ่งทุเรศที่สุดของหนังฮอลิวูด ที่ไม่เคยเปลี่ยนเลยเป็นมาเป็นชาติเลย
คือถ้ามีคนจีนในหนังฮอลิวูด พวกบ้านี้จะพูดกันโดยใช้ภาษาอังกฤษ
จะใช้ภาษาจีนเฉพาะกับตัวประกอบที่ไม่สำคัญ ไม่ก็ใช้เวลาสบถเท่านั้น
อยากรู้จริง ๆ ว่าคนจีนที่ดั้นด้นข้ามน้ำข้ามทะเลไปเป็นพัน ๆ ไมล์
ไปเจอคนชาติเดียวกันในต่างประเทศ
มันจะใช้ภาษาอังฤษคุยกันแทนภาษาแม่อย่างนั้นหรือไง
ความทุเรศขัดลูกตาแนวนี้ไม่เคยหายจากหนังฮอลิวูดเลย
อยากรู้จริง ๆ ว่ามันจะพูดภาษาจีนแล้วมีสับไตเติลเป็นภาษาอังกฤษ
มันจะตายกันเลยหรือ ท่าจะแก้ไม่หายมั้ง
ฝรั่งก็ใช่ว่าจะทำอะไรดีไปหมด ทำอะไรงี่เง่าก็เยอะ
แต่นอกนั้นแล้วหนังเขาก็ดีต้องยอมรับ
ห่างจากหนังไทยประมาณซักสิบปีเห็นจะได้
ถ้าวงการหนังไทยไม่ตายไปซะก่อน
อีกสิบปีก็คงจะเทียบชั้นหนังฮอลิวูดได้
หนังดีไม่จำเป็นต้องทุนสร้างสูง
แค่พิถีพิถัน ทำออกมาสมจริงสมจัง
ดึงคนให้คล้อยตามได้ ดูแล้วได้อรรถรสก็พอ
ตอนนี้หนังไทยหลาย ๆ เจ้าก็เริ่มทำดีขึ้นมาบ้าง
หลุดจากวังวน หนังงี่เง่ามาแล้วก็น่าจะภูมิใจไปกับคนไทยมั่ง
เพราะทุกวันนี้ไม่ต้องเสียตังส์มาดูคนวิ่งหนีปอบกันเป็นชั่วโมงแล้ว
และก็ไม่ต้องมาดูหนังแนวไม่สร้างสรรค์กันอีกต่อไป
สองสามปีมานี้หนังไทยเริ่มดีขึ้น
หนังห่วย ๆ จะเหลือแค่ปีละเรื่องสองเรื่องเท่านั้น
นอกนั้นก็หันมาทำแบบพิถีพิถันกัน
คงจะเริ่ม ๆ รู้ตัวกันแล้วว่าถ้ายังเดินตามสายเดิมจะขาดทุน ไม่มีคนดู
สมัยนี้เงินทองหายากจะดูแต่ละเรื่องมันต้องคุ้มเงิน
ก็ดีนะอะไร ๆ ในสังคมค่อย ๆ ดีขึ้น
แลกกันกับอะไรหลาย ๆ อย่างเหมือนกันที่ค่อย ๆ เลวลง
บ่นอะไรซะยืดยาว นอนดีกว่า
May The Force Be With You.
ขอพลังที่สร้างสรรค์จงอยู่กับโลกต่อไป
JK
<<-- ซูเปอร์โบลว์วันนี้ (5 กุมภาพันธ์ 2545) บ่นไปวัน ๆ น้องแอนอีกแล้ว(10 กุมภาพันธ์ 2545) -->> หน้าหลักไดอารี่ ปี 2545